ใคร ๆ ก็ไปญี่ปุ่น ผมก็เช่นกัน

0
145
เราก็เหมือนคนต่างจังหวัดทั่วไปที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพ ฯ เก็บเงินได้ก้อนนึงเลยเอาเงินก้อนนั้นมาลงทุนขายผัดไท หอยทอด แถวบางพลี สมุทรปราการ กิจการก็พอใช้ได้นะครับไม่ถึงกับดีมาก ทำไปทำมา ภรรยามือบวม อาจจะเกิดจากการแพ้น้ำยาล้างจานหรือวัตถุดิบในการทำผัดไทหอยทอดครับ ครั้นจะให้เราทำคงไม่ไหว มือไม่ไปเลยผัดได้แต่ช้า หน้ากะทะร้อนมาก ทนอยู่ได้ประมาณ 8 เดือน เราก็เลยตกลงว่าไม่เอาแล้วอาชีพทำอาหาร ก็เลยเปลี่ยนไปขาย อุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ พวกหูฟัง ที่ชาร์จแบต อะไรประมาณนี้ ขายกับภรรยาคนละร้าน รายได้ ก็พอประมาณครับ พออยู่ได้ แต่เงินเก็บทำไมมันหายากจัง
ประมาณเดือนสิงหาคมปี 2554 ลูกไม่สบายกลับไปดูลูก ไม่ถึง 2 อาทิตย์ เงินเก็บเกือบหมด เลยปรึกษาภรรยาว่าเราไปทำงานต่างประเทศกันไหม เผื่อจะมีเงินเก็บและลูกก็เริ่มโตขึ้นทุกวัน ค่าใช้จ่ายก็เยอะขึ้น ตกลงกันว่าจะไปทำงานที่เกาหลี ไปสมัครที่กรมจัดหางาน ตรงดินแดง พอสมัครเสร็จ กำลังจะกลับบ้าน ได้ยินเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ว่าใครสนใจจะสมัครไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น ฟรีนะ ถ้าสนใจยื่นใบสมัครได้เลย ไม่เกิน 16.30 ของวันนี้ ผมนี่ยิ้มเลย สงสัยเทวดาคงส่งผมไปญี่ปุ่นแทนเกาหลี
สมัครเสร็จยังต้องผ่านด่านทดสอบอีกมากมายครับ ต้องสอบความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับช่าง พยัญชนะญี่ปุ่น ฮิระกะนะ คะตะคะนะ และทดสอบสมรรถภาพร่างกาย หลังผ่านอุปสรรคทุกอย่างก็ได้เข้าไปเรียนภาษาญี่ปุ่นอีก 4 เดือน ไอ้ 4 เดือนนี้ กดดันสุด ๆ เกณฑ์ผ่าน 80 คะแนน ถ้าไม่ผ่านต้องสอบซ่อม ถ้าซ่อมไม่ผ่าน 3 ครั้ง กลับบ้านนะครับ ฉะนั้นจึงต้องตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ ขนาดตั้งใจเรียนยังต้องซ่อมเลยครับ หลังจากสอบผ่านทุกอย่าง เซ็นสัญญากับบริษัทญี่ปุ่น และได้บินไปญี่ปุ่นปี 2555 งานที่ได้ทำคือ เชื่อมท่อรถบรรทุก หนักสุด ๆ
พอบินไปญี่ปุ่นก็ได้เข้าไปเรียนที่ศูนย์อีก 1 เดือน เรียนเสร็จก็มีรถบริษัทมารับที่จังหวัด ไซตามะ และเข้าไปอบรม 2-3 วัน ก็ได้ทำงานจริง ๆ ละทีนี้ ไอ้เราก็อยากได้ตังค์ ก็เลยตั้งใจเป็นพิเศษเรียนรู้งานจากรุ่นพี่ที่เป็นคนไทยด้วยกัน อ้อลืมบอกไปที่บริษัทมีรุ่นพี่คนไทย ประมาณ 30 – 40 คนเยอะมากครับ ไม่เหงารุ่นพี่ก็ต้อนรับดีมาก ๆ ครับ ถ้าไม่ได้รุ่นพี่นี่เราก็แย่เหมือนกัน
กลับมาที่งานกันครับ พอเริ่มลงใน line production ของจริง นี่หนักมาก ๆ ครับ ไม่เคยทำงานหนักขนาดนี้มาก่อน ขนาดดำนาเกี่ยวข้าวยังไม่เหนื่อยขนาดนี้เลยครับ ญี่ปุ่นนี่การทำงานยังกับวิ่งเลยครับพวกเขาไม่เหนื่อยหรือไงก็ไม่รู้ งานใน line production มี 3 คน ผมอยู่ท้ายสุด งานก็ทำท่อรถบรรทุกครับ มีประมาณ 20 ชนิดที่เราต้องทำ ตัวหนักสุดนี่ประมาณ 25 – 30 กิโลกรัมได้อ่ะครับ เบาสุดนี่ประมาณ 5 – 8 กิโลกรัม ในแผนกมี 2 กะ เช้ากับดึก กะนึงก็ทำประมาณ 100 ตัวครับ 1 ตัวยกประมาณ 4 ครั้ง วันนึงก็แค่ 400 ครั้งเอง หนักไหมละครับ

ช่วงอาทิตย์แรกที่ได้ทำงาน ถึงกับป่วยเลยนะครับ เราจะต้องหาเทคนิคที่ทำให้เราทำงานโดยไม่ให้ร่างกายเราบอบช้ำมากเกินไป คนไทยเก่งเรื่องพลิกแพลงอะไรทำนองนี้อยู่แล้วครับ ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ ล่ะกันนะครับ อย่างเช่น การยกงาน คนญี่ปุ่นจะยกงานโดยไม่ใช้เครน ถ้าไม่หนักมาก แต่เราใช้เกือบจะทุกงานเลยครับ เพื่อที่จะเซฟร่างกายให้สามารถทำงานได้ 12 ชม/วัน เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้ว อาจจะทำงานได้แค่ ไม่เกิน 6 ชม . แรงหมดก่อนแน่นอนเลยครับ
ทำงานได้ 3 เดือนเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหว คิดถึงบ้าน คิดถึงลูก ตอนนั้นท้อมากเลยครับ งานหนัก แถมทำอะไรก็ดูขัดหูขัดตาหัวหน้าคนญี่ปุ่นไปหมด ปกติเป็นคนใจร้อนอยู่แล้ว แต่พอคิดเห็นหน้าลูก เมีย พ่อ แม่ แล้วทำให้เรามีกำลังใจขึ้นมา ทีนี้เราถามตัวเองว่าอยู่เพื่ออะไร คำตอบคือ เงิน  และผมก็อดทนจนเวลาผ่านไป 3 ปี
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากคนญี่ปุ่น คือการทำงานชนิดว่าเร็วจัดเลยครับ ไม่ว่าจะแผนกไหน ตำแหน่งอะไร ไวเหมือนกันหมด เท่าที่เห็นในโรงงานนี้นะครับ 10 คน จะมี 9 คน ที่ทำงานเร็วขยัน ส่วนอีก 1 คน จะทำงานขอไปที อู้งานเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน เราเคยแต่ทำงานที่เมืองไทย คิดว่าคงจะทำเหมือนกัน ทำไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาก็พัก แต่ไม่ใช่ครับเขาทำงานกันเร็วมาก ถ้าทำไม่ทันงานกองเต็มครับ ไม่มีใครมาช่วยครับ พอกองเต็มหัวหน้าก็จะมาดูว่าเต็มเพราะอะไร ถ้าเต็มเพราะอุปกรณ์ในการทำงานเสีย อันนี้เขาจะช่วยทำ แต่ถ้าเพราะเราทำช้า หรืออู้ อันนี้เขาจะบอกให้เรารีบทำ แต่หัวหน้าบางคนด่าเลยครับ การด่าหรือต่อว่า เกี่ยวกับงาน ที่ญี่ปุ่นถือเป็นเรื่องปกติ ว่าตรงนั้น จบตรงนั้นครับ ไม่มีผูกใจเจ็บครับ ระเบียบวินัย ของคนญี่ปุ่นมีสูงมาก คนญี่ปุ่นชอบอยู่อย่างสงบ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ไม่ส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้าน เวลาซื้อของก็ต่อแถวเข้าคิว ถึงแม้แถวจะยาวแดดร้อนเขาก็จะยืนต่อแถวแบบนั้นจนกว่าจะถึงคิวของตัวเองครับ
การลาหรือขาดงานคนญี่ปุ่นน้อยมากครับ ถ้าไม่มีธุระจริงๆ คนญี่ปุ่นจะไม่ลาเลยครับ เรียกว่ารับผิดชอบต่อหน้าที่ได้ดีมาก ๆ เลยครับ สวัสดิการการลาที่ญี่ปุ่นก็ไม่เหมือนที่ไทยนะครับ ที่ญี่ปุ่นพอทำงานครบ 6 เดือน จะได้วันลา 10 วัน/ปี ลาป่วย ลากิจ หรือพักร้อน ก็อยู่ใน 10 วันนี้แหล่ะครับ แต่พอทำงานกับคนญี่ปุ่นจนชินแล้ว เราก็ไม่อยากจะลานะครับ เพราะถ้าเราลา เพื่อนร่วมงานในแผนก ก็จะงานหนักเพิ่มขึ้น เพราะต้องมาทำงานของเราด้วย กระทบกับเป้าของงาน/วัน ด้วยครับ

ถึงงานที่ทำจะหนัก แต่ผมก็โชคดีที่ได้ทำงานกับคนญี่ปุ่น ประเทศที่มีระเบียบวินัยจนกลายเป็นวัฒนธรรม

วิรพล สารจันทร์ เป็นคนไทย ( ในญี่ปุ่น )

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here